เป็นคำเรียกรวมๆ ถึงต้นทุนที่เราเสียไปต่อการเกิด Action 1 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนต่อการมองเห็น 1 ครั้ง , ต้นทุนต่อการสมัครสมาชิกของลูกค้า 1 คน หรือต้นทุนต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้ง เป็นต้น โดยคิดจากการหารค่าใช้จ่ายทั้งหมดของแคมเปญโฆษณาด้วยจำนวนลูกค้าทั้งหมดที่ได้รับจากแคมเปญโฆษณานั่นเอง เพราะฉะนั้นค่า CPA ยิ่งถูงยิ่งดี
ข้อนี้ตรงตัวเลย ก็คือราคาต้นทุนที่เราจ่ายไป ต่อการที่โฆษณาเราแสดงผลครบ 1000 ครั้งโดยที่อาจจะเห็น หรือไม่เห็นก็ได้ โดย CPM เป็น Metric พื้นฐานที่ทุกๆแคมเปญจะต้องมี เพื่อที่จะคำนวณได้ว่าต้นทุนต่อการแสดงผลของแอดนั้น ถูกหรือแพง
ราคาต้นทุนที่เราเสียไปต่อการที่ลูกค้าคลิกเข้ามาที่โฆษณาของเรา 1 ครั้ง ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของโฆษณาว่าการคลิกต่อครั้งนั้นถูกหรือแพง โดยคิดจากค่าโฆษณาทั้งหมดหารด้วยจำนวนคลิกทั้งหมด ในกรณีที่ CPC ยิ่งถูก ยิ่งแสดงว่าเงินของเราถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ได้คลิกที่เพิ่มมากขึ้น
การวัดความสามารถในการทำกำไรของแคมเปญโฆษณา
โดยมีวิธีคิดดังนี้ (รายได้ที่เกิดจากโฆษณา / ต้นทุนโฆษณา) x100 โดยอัตราผลตอบแทนที่ดีจะอยู่ที่ 4:1 หรือมีรายได้เป็น 400% ต่อต้นทุนโฆษณานั่นเอง โดยวิธีเพิ่ม ROAS ให้กับธุรกิจเราก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่การทำคอนเทนต์ของเราน่าสนใจหรือไม่ ? วิธีการเซ็ทโฆษณาถูกต้องรึเปล่า ? เราได้มีการทำ Ads Optimize ระหว่างทางเพื่อปิดโฆษณาที่ขาดทุนออกรึเปล่า AW ที่เราทำตรงตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ เป็นต้น
เป็นวิธีในการโปรโมทเว็บไซต์หรือช่องทางการขายของเราโดยการเพิ่มการแสดงผลเมื่อมีคนเสิร์ชหา Keyword เกี่ยวข้องกับธุรกิจเราผ่านทาง Google ถือเป็นรูปแบบการทำการตลาดเชิงรับ โดยที่เราสามารถใช้เงินซื้อโฆษณาผ่านทาง Google ได้เลย
เป็นวิธีการโปรโมทช่องทางการขายของเราเหมือนกับ SEM แต่ต่างกันที่ SEO คือการพัฒนาเว็บไซต์หรือช่องทางที่เราต้องการโปรโมทให้ตอบโจทย์กับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการค้นหามากที่สุด สามารถทำได้โดย การทำ Content ที่มีประสิทธิภาพ / การใช้ชื่อ Headline ที่ตรงกับความสนใจ / การให้บุคคลที่ 3 อ้างอิงข้อมูลมาที่เว็บไซต์ของเรา และสุดท้ายการอัพคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยเพิ่มคะแนนให้เว็บไซต์เราติดอับดับการค้นหาได้มากขึ้น โดยวิธีนี้ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่พัฒนาช่องทางของเราให้ดีไว้ Google จะคัดเลือกเราขึ้นไปเอง!
เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจให้โฆษณาของเราเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการทดลองปล่อยแคมเปญการตลาดหรือกลยุทธ์ 2 เวอร์ชั่น โดยทั้ง 2 กลยุทธ์จะต้องมี Objective เดียวกัน เพื่อเปรียบเทียบว่าเวอร์ชันไหนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน โดยสามารถเปรียบเทียบได้ตั้งแต่ รูปแบบการใช้คำ / รูปภาพแบบไหน / โปรโมชั่นแบบไหน เป็นต้น ดังนั้นการทำ A/B Testing จะช่วยให้การทำโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพมากขี้น สามารถเพิ่ม Conversion ในขณะที่ลงทุนเท่าเดิม ลดจำนวน Bounce Rate และเพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำโฆษณาต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
เป็นตัวเลขที่บอกว่าเรามีผู้ใช้งานจริงที่ใช้งานปัจจุบันอยู่บนเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นของจำนวนกี่ผู้ใช้ต่อเดือน (ไม่นับกลุ่มที่เข้ามา Register หรือ Dowload ไว้แล้วไม่ได้ใช้งานจริง) โดยยอดผู้ใช้จริงรูปแบบนี้ จะช่วยให้เรารู้ว่ากลยุทธ์ทางการตลาดที่เราได้ทำไปนั้น เกิดประสิทธิภาพหรือไม่ ? โดยวัดได้จากการวิเคราะห์ดูว่าเมื่อทำการตลาดไปแล้วมีผู้ใช้กลับมาจริงเท่าไหร่ มีการใช้งานต่อเนื่องหรือไม่ รวมไปถึงยังช่วยวิเคราะห์อัตราการเติบโตของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ